ไปขึ้นห้วยต้นไฮ้-พักให้เต็มคราบที่บ้านนาต้นจั่นโฮมสเตย์กัน
- Patta-Pun
- 16 ต.ค. 2562
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 30 ต.ค. 2562

ปิดเทอมนี้เราเลือกเดินทางไป บ้านนาต้นจั่น สุโขทัย เหตุผลคืออยากไปช่วงต้นข้าวสีเขียวชุ่มฝน อยากดูหมอก ช่วงปลายฝนต้นหนาวนี่เรียกได้ว่าสดชื่นสุดๆ วันที่เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ฝนตกปรอยๆ มาตลอดทาง เริ่มจากรถเข้านครสวรรค์-พิจิตร-พิษณุโลก-อุตรดิษฐ์ มีบ้าง แต่พอข้ามเขาเข้าดินแดนสุโขทัย กลับไร้ฝน ทำไมเราเลือกเดินทางเส้นนี้ไม่ไปทางกำแพงเพชร เราตั้งใจแวะเมืองลับแลก่อนจ๊ะ จะไปชิมเมนูที่มีความคล้ายกับข้าวเปิ๊บของสุโขทัย มันต่างกันยังไงนะลองดูซิ สุดท้ายถึงจะแค่เฉียดไปแป๊บๆ จากที่แค่อยากไปลองชิมอาหาร เรากลับอยากกลับไปเยือนเมืองอุตรดิษฐ์อีกครั้ง ด้วยสไตล์การเที่ยวของเรา เราชอบเมืองสงบ เมืองอุตร เป็นอีกเมืองที่เราคิดว่าสงบน่าค้นหา เอาล่ะมีโอกาสต้องหาเวลาไปอีกแน่นอน >>> แวะชิมหมี่พันเมืองลับแล (รออัพเดท)


บ้านนาต้นจั่น ที่นี่ เราได้พักที่บ้านแม่บัวคำ Check in เข้าบ้านช่วง 15.00 / คือมาเย็นๆ น่ะจ๊ะ กำลังดี เพราะพอมาถึงนั่งกินน้ำกินท่า รู้จักกับเจ้าของบ้านแล้ว ต้องรอไกด์ท้องถิ่นมารับ ตอน 17.00 ซึ่งก็คือคนในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่นี้นั่นล่ะ เค้าแบ่งงานกันดีมากๆ เลย กระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ต้องการไกด์จะเดินหรือปั่นจักรยานกันเองก็ได้ เพียงแต่อาจจะมั่วๆ นิดนึง ถ้าให้ดีก็ขอไกด์จะดีกว่า เพื่อประหยัดเวลา จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกที่ทุ่งนาได้ทัน ค่าไกด์ก็แล้วแต่ที่เราจะให้เลยจ๊ะ มันคือค่าน้ำใจ ส่วนค่าจักรยานก็จ่ายให้กับเจ้าของบ้าน คันละ 30- ยังไม่ต้องรีบจ่ายในตอนนั้น เค้าจะพาไปจ่ายรวมกับค่าที่พักตอนกลับโน่นล่ะ...พัก เที่ยวให้ชิลชิลก่อนค่อยคิดเรื่องเงิน แม่บัวคำเจ้าของบ้านบอก VV


ที่แรกที่เราปั่นจักรยานไปคือ ไปดูการทำตุ๊กตาบาร์โหน ภูมิปัญญาพื้นบ้านของบ้านนาต้นจั่น มีทั้งแบบโหนเดี่ยว โหนคู่ โหน 3 คน เอาไว้บริหารกล้ามเนื้อมือ เหมาะกับพวกออฟฟิศซินโดรมง่ายอย่างเราสุดๆ ที่จุดนี้ยังมีลูกกระสุนดินปั้นไว้บริการให้ลองยิงเล่น เด็กคนไหนโตมากับท้องนา คงรู้จักดีว่ามันสนุกขนาดไหน เราเองก็ไม่พลาด ซื้อกระสุนดินไป 2 กระปุก กระปุกละ 10- ยิงกันจนไกด์เตือนว่าควรไปจุดอื่นได้แล้วค่ะ เดี๋ยวไม่ทันพระอาทิตย์ตก
ต่อจากจุดนี้เราไปลุยทุ่งกัน ทุ่งนาสีเขียวๆ ที่นอกจากจะมีต้นข้าวสีเขียวกำลังตั้งท้องแล้ว ยังปลูกดอกบานชื่นแซมสีเหลืองสดตัดสีเขียวให้ความรู้สึกสดชื่น ช่วยให้ถ่ายรูปได้สวยด้วย ไม่นาน พระอาทิตย์ก็เริ่มตก เรายังมาได้แค่ 2 จุด มันเพลินทุกจุดอ่ะจ๊ะ






คืนแรกผ่านไป หัวถึงหมอนปุ๊บหลับทันที ว่าจะอ่านหนังสือก่อนนอนเหมือนทุกคืนเสียหน่อย ไม่ทันละ หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย ที่นี่เค้ามีกฎว่าหลัง 21.30 ห้ามส่งเสียงดัง เราก็ไม่ส่งเสียงจริงๆ นะเออ หลับสนิท 5555++++ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับคนนอนดึกเช่นเรา 03.00 ตื่นเองเฉย ไม่ต้องให้นาฬิกาปลุกแล้วปลุกอีกเหมือนทุกวัน ทั้งๆ ที่นอนไปแค่ 5 ชม. แต่ร่างกายกลับรู้สึกสดชื่นไม่อยากนอนต่อแล้ว ลุกขึ้นเดินไปล้างหน้า-แปรงฟัน เตรียมของรอขึ้นดอย ห้วยต้นไฮ้ รอลุงไกด์ที่จะมารับตอน 04.30 ลุงเค้ามาตรงเวลาเป๊ะเลย
04.30 ขึ้นรถกระบะที่มารับ แต่ละบ้านจะมีรถไปรอรับแล้วทยอยขับไปจอดไว้ที่ตีนเขาแล้วเดินเท้าขึ้นไปต่อ อีก 850 เมตร ที่นี่เค้าไม่อนุญาตให้รถคนนอกเข้าไปในบริเวณนี้นะ เป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องที่คิดว่ากระบวนการจัดการโฮมสเตย์ของที่นี่จัดว่าเข้มแข็ง ลองคิดว่าถ้าใครๆ ก็สามารถขับรถไปขึ้นห้วยเองได้ ชาวบ้านในท้องถิ่นจะมีรายได้เสริมไหม จะคุมคนนอกได้ไหม ธรรมชาติจะเหมือนเดิมไหม ถ้าใครก็เข้าถึงได้ง่ายๆ
เอาล่ะเมื่อมาถึงตีนเขาลงจากรถแล้วทีนี้ไฟฉายที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้เราคนละกระบอกก็เริ่มทำงาน ซึ่งจริงๆ แล้วเราเตรียมมาเองด้วยล่ะพกไปหมดเลย แม่บัวเจ้าของบ้านยังเตรียมขนม-น้ำ-กาแฟ-โอวัลตินซองให้เราไปด้วย 3 ชุด ทางเดินมืดนะ แต่ที่นี่ยังมีไกด์ 4 ขา ที่ตามมาตั้งแต่ในหมู่บ้านอีก 1 ตัว ชื่อ พี่เสือ และแม่คำแก้วที่ตามมาจากบ้านกลางดอยที่อยู่ตีนเขา (โฮมสเตย์อีกหลังที่น่าพักมาก แต่หลังนี้เค้าว่าไม่มีไฟฟ้าจ๊ะ อาหารก็จะทำจากข้างล่างเอาขึ้นไปส่ง)

เดินไปเรื่อยๆ ทางชันอยู่นะ แต่ก็มีจุดให้นั่งพักเป็นระยะ โดยเฉพาะ 100-200 เมตรสุดท้ายนี่ เค้าว่าชันปราบเซียน 45 องศากันเลยทีเดียว ก่อนมาก็ฟิตตัวเองมาหน่อยจะดี ข้อเข่าไม่ดีก็อย่าเสี่ยง หอบ-มีโรคประจำตัวก็ต้องดูแลตัวเองดีดี ถ้าไม่เคยออกกำลังกายเลยอันนี้ก็น่าจะแย่ แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนพอขึ้นไปถึงด้านบนนี่หายเหนื่อยเลยล่ะนะ นั่งพักสักแป๊บก็หยุดนั่งแล้ว ถ่ายรูปกันเมามันส์ ซักพักลุงไกด์ก็เอากระบอกไม้ไผ่ที่มีน้ำร้อนๆ มาให้เราชงกาแฟ อื้อหือฟิน ไม้ไผ่ก็ตัดสดๆ ตรงนั้นล่ะ น้ำก็ต้มตอนนั้นเลย ใครอยากกินมาม่า เค้ามีขายนะเออ แต่เราไม่หิว-กำลังอิ่มอกอิ่มใจ


ลงมาถึงก็มีข้าวมื้อเช้ารออยู่เหมือนเดิมค่ะ มื้อที่ 2 ที่ บ้านนาต้นจั่น ไม่ต้องบรรยายให้มากอร่อยทุกอย่างจริงๆ ไม่อิ่มเติมได้นะ หลังมื้ออาหารระหว่างนั่งย่อย แม่บัวก็มานั่งคุยกับเรา แม่เล่าว่าที่นี่มีกัน 300 ครัว แต่เปิดเป็นโฮมสเตย์แค่ 28 ครัว การจะเข้ามาร่วมเป็นโฮมสเตย์ไม่ใช่เรื่องง่าย บ้านไหนมีเด็กเล็กมีคนแก่ก็ไม่ได้ และยังมีอีกหลายองค์ประกอบ แม่บัวเองอยู่คนเดียว ลูกๆ ไปเรียนต่างจังหวัด วันไหนไม่มีแขกมาพักก็เข้าสวน โฮมสเตย์ก็คืออาชีพเสริม แรกเริ่มคนที่นี่ก็ไม่มีใครสนใจจะเข้าร่วมกัน แต่พอเริ่มทำแล้วหัวหน้ากลุ่มเองก็เข้มแข็ง ศึกษาเรียนรู้ระบบการจัดการที่เป็นระบบ 10 กว่าปีแล้วที่เริ่มทำบ้านนาต้นจั่นเป็นโฮมสเตย์มา หมู่บ้านข้างเคียงมีเริ่มทำตามบ้างแต่ก็ไม่ค่อยได้ผลนัก

นั่งคุยกันไป พักกันไป จนเกือบ 10 โมงเช้า แม่บัวก็บอกให้เราเตรียมตัว ไปที่ศูนย์ของหมู่บ้าน นี่เลยไปกิน "ข้าวเปิ๊บ" ที่อยากลิ้มรส ไปช๊อปเสื้อผ้า และไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายทั้งหมด


อยากไปที่นี่ เราติดต่อผ่านทางหน้าเพจ <โฮมสเตย์บ้านนาต้นจั่น จังหวัดสุโขทัย>
**** ใครเคยไปที่นี่แล้ว สามารถติดต่อขอพักบ้านหลังเดิมที่เคยพักได้นะถ้ามีการไปครั้งต่อไป แต่ครั้งแรกจะเลือกไม่ได้
รายละเอียดโปรแกรมทริป (Update 07/10/62 ราคาก่อนหน้านี้ 3 ท่านคิดท่านละ 500-) ทริป 2 วัน 1 คืน 15.00 น. รับนักท่องเที่ยวจากศูนย์กลางชุมชนเข้าที่พัก 16.30 น. ปั่นจักรยานชมทุ่ง ชมพระอาทิตย์ตก(สะพานเชื่อมทุ่ง) 18.30 น. รัปประทานอาหารเย็น ……………………………………………………… 06.30 น. ตักบาตรหน้าบ้าน 07.30 น. รัปประทานอาหารเช้า 08.30 น. ปั่นจักรยานชมวิธีการทอผ้าใต้ถุนบ้าน ชมวิธีการทำตุ๊กตาบาร์โหน (บ้านตาวงศ์) ชมและชิมผลไม้ตามฤดูกาล ชมการทำผ้าหมักโคลน ชมผลิตภัณฑ์จากผ้าหมักโคลน 11.30 น. ชมและทดลองการทำข้าวเปิ๊ปอาหารถิ่น
📣📢อัตราค่าที่พัก 📢📣 ******************************************** ท่านละ 600 บาท/คน เด็กอายุต่ำกว่า5ขวบคิด250บาท #กรณีชาวต่างชาติ 700 บาท /คน อาหารเย็น/เช้า/นอนพักหนึ่งคืน กิจกรรมชมเที่ยวในหมู่บ้านเจ้าของบ้านพาชมเที่ยว
รายละเอียดลักษณะของบ้านพัก ลักษณะบ้านเป็นบ้านที่เจ้าของบ้านแบ่งห้องให้นักท่องเที่ยวอยู่ด้วย บ้านมีทั้งหมด 28 หลัง เวียนตามคิว
Comments